วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซานตาคลอส


ซานตาคลอส




          ช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาสทีไร เราก็มักจะเห็นภาพคุณลุงเคราขาวพุงพลุ้ยในชุดสีแดงทั้งตัว แบกถุงขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยของขวัญ พร้อมส่งเสียงหัวเราะ โฮโฮโฮ ปรากฎกายออกมาให้เห็นประจำพร้อมกับเจ้ากวางเรนเดียร์คู่ใจ แน่นอน ไม่มีใครไม่รู้จัก คุณลุง หรือ ซานตาคลอส ผู้นำของขวัญและความสุขมาให้กับเด็ก ๆ ในเทศกาล "คริสต์มาส" แต่ถ้าถามให้ลึกลงไปว่า จริง ๆ แล้ว คุณลุง ซานตาคลอส คือใครกันแน่ หลายคนอาจส่ายหน้า เช่นนั้นแล้ว กระปุกดอทคอม ก็ขอเปิดตำนาน ซานตาคลอส ให้ฟังกันรับเทศกาลกันเลย
         
 สำหรับตำนานของ ซานตาคลอส (Santa Claus) นั้น มีเรื่องเล่าว่า ซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา ที่มีชีวิตอยู่ในราวศตวรรษที่ 4โดยชีวิตในวัยเด็กของเซนต์ นิโคลัส อาศัยอยู่ทางฝั่งทะเลตอนใต้ของตุรกี และเขาต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว เนื่องจากชาวโรมัน ผู้ครอบครองดินแดนแถบนั้นกดขี่ชาวคริสเตียน ต่อมาบิดามารดาของเซนต์ นิโคลัส เสียชีวิตลงและได้ทิ้งทรัพย์สมบัติให้เขาไว้มากมาย 



ซานตาคลอส

                         วันหนึ่ง เซนต์ นิโคลัส เกิดสงสารครอบครัวเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยากจน ด้วยความมีน้ำใจและใจบุญสุนทาง เขาจึงปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของครอบครัวยากจนนี้ แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ แต่บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ทำให้ครอบครัวแปลกใจที่ใครมาช่วยเหลือพวกเขา ก่อนจะแอบดูและทราบในที่สุดว่า ผู้ใจบุญคนดังกล่าวคือ เด็กหนุ่มนามว่า นิโคลัส นั่นเอง


เซนต์ นิโคลัส


อนุสาวรีย์ เซนต์ นิโคลัส ที่เมืองบารี่ ประเทศอิตาลี

                                  ต่อมา นิโคลัส ได้เข้าเป็นนักบวชคริสเตียน ก่อนจะได้ดำรงตำแหน่ง บิชอฟ แล้วย้ายไปดำรงตำแหน่งสังฆราชแห่งเมืองไมรา (Myra) ซึ่งขณะนั้น ท่านสามารถประกอบศาสนกิจได้อย่างเต็มที่แล้ว เพราะจักรพรรดิองค์ใหม่ของอาณาจักรโรมสนับสนุนศาสนาคริสต์ ท่านเซนต์ นิโคลัส จึงเผยแผ่ศาสนา และอุทิศชีวิตให้กับคริสต์ศาสนาจนมีชื่อเสียงลือเลี่ยงไปทั่ว ก่อนจะมรณภาพในวันที่ 6 ธันวาคม ราวปี ค.ศ. 340 คริสต์ศาสนิกชนจึงได้สร้างโบสถ์เก็บรักษาศพของท่านไว้ ณ เมืองไมรา เพื่อให้ผู้แสวงบุญเดินทางมาเคารพศพ และยังได้เกิดปรากฎการณ์มหัศจรรย์ เมื่อมีน้ำมนต์ไหลออกมาจากกระดูกของท่าน ซึ่งเรียกว่า "มานนา"

         
 แต่ทว่าชาวเมืองบารี่ เมืองเล็ก ๆ ในอิตาลี ต้องการหาสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับเมืองของตัวเอง จึงได้ว่าจ้างนักโจรกรรม นำโดยแมทธิว เป็นหัวหน้าของกลุ่ม ไปโจรกรรมกระดูกของเซนต์ นิโคลัส ที่เมืองไมรา กลับมายังเมืองบารี่ เมื่อกลุ่มโจรกรรมทำงานสำเร็จ ชาวบารี่ก็ได้สร้างโบสถ์เพื่อบรรจุกระดูกเซนต์ นิโคลัส และยังพบความมหัศจรรย์ เมื่อมีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ไหลซึมออกมาจากกระดูกของท่านเช่นเดียวกัน ซึ่งนักแสวงบุญนำได้น้ำมนต์นี้ไปรักษาโรค ก็รักษาได้ผลชะงัด และจากนั้นสถานที่แห่งนี้ ก็กลายเป็นสิ่งดึงดูดที่ทำให้คริสต์ศาสนิกชนแห่แหนมาคารวะกระดูกท่านเซนต์ นิโคลัส ที่เมืองบารี่อย่างล้นหลาม 


โบสถ์เซนต์ นิโคลัส ในเมืองบารี่ ประเทศอิตาลี

โบสถ์เซนต์ นิโคลัส ในเมืองบารี่ ประเทศอิตาลี

                                
 กระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดให้วันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันมรณภาพของเซนต์ นิโคลัส เป็นวันเซนต์ นิโคลัส และได้นำถุงเท้าที่ใส่อาหาร ขนมไปแขวนไว้หน้าบ้านของคนยากไร้ตามแบบอย่างท่าน ก่อนที่ประเพณีนี้จะแพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วยุโรป และแพร่หลายไปในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะได้มีการผนวกวันเฉลิมฉลองเซนต์ นิโคลัส เข้ากับวันคริสต์มาส  ต่อมาจิตรกรนาม "โธมัส นาสต์" (Thomas Nast) ได้เขียนภาพซานตาคลอสขึ้นมาเป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่เสื้อผ้า และหมวกสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก โดยจะปรากฎตัวในวันคริสต์มาส ลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็ก ๆ ที่แขวนถุงเท้าไว้นั่นเอง



ซานตาคลอส
                                     และนี่เรื่องตำนานของ ซานตาคลอส ที่บอกเล่าสืบต่อกันมาช้านาน แน่นอนว่า เรื่องราวของซานตาคลอส ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตำนานเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสเท่านั้น แต่ ซานตาคลอส ถือเป็นสัญลักษณ์ของ "ความรัก" และ "ความเมตตา" ที่มีให้เพื่อนมนุษย์ที่ร่วมโลกใบเดียวกันอีกด้วย

เเหล่งที่มา http://hilight.kapook.com/view/5588

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น